ถอดโครงสร้าง ‘เงินเฟ้อ’ ไทย vs สหรัฐ อะไรคือตัวแปรสำคัญที่ทำให้ของแพง

ถอดโครงสร้าง ‘เงินเฟ้อ’ ไทย vs สหรัฐ อะไรคือตัวแปรสำคัญที่ทำให้ของแพง

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมานั้น เศรษฐกิจโลกได้เผชิญกับ ‘ภาวะเงินเฟ้อ’ ในระดับที่สูงสุดในรอบหลายสิบปี ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบเหล่านั้น

แต่จากการรายงานข่าวเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่า ตัวเลขเงินเฟ้อในแต่ละประเทศนั้นก็อยู่ในระดับสูง-ต่ำไม่เท่ากัน แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อต่างกัน..

วันนี้เราจะพาทุกคนไปถอดโครงสร้าง ‘เงินเฟ้อ’ ของประเทศไทยและ สหรัฐ ตัวแปรสำคัญที่ทำให้สินค้าและบริการมีราคาสูงขึ้น หรือหากกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็คือ ตัวแปรที่ทำให้เงินของคุณมีค่าต่ำลง

ถอดโครงสร้าง

[ เศรษฐศาสตร์ 101 เงินเฟ้อคืออะไร ]

เงินเฟ้อ คือตัวแปรทางเศรษฐกิจที่สะท้อนถึงภาวะราคาเฉลี่ยของสินค้าและบริการที่ปรับตัว ‘ขึ้น’ ซึ่งจะถูกรายงานเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยถูกผลักดันขึ้นได้จาก 2 ปัจจัย ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของฝั่งอุปสงค์ (Demand Pull) หรือ การผลักดันจากอุปทาน (Cost Push)

ในช่วงภาวะทางเศรษฐกิจใด หากมีความต้องการของสินค้าและบริการ A สูงมาก ในขณะที่ความต้องการผลิตเท่าเดิม ราคาของสินค้าและบริการ A ก็จะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเราเรียกเหตุการณ์เช่นนี้ว่า การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อจากปัจจัยฝั่งอุปสงค์ (Demand Pull)

ในอีกกรณีหนึ่ง หากความต้องการสินค้าและบริการ A เท่าเดิม แต่การผลิตสินค้าและบริการ A ลดลง ราคาของสินค้าและบริการ A ก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเรียกเหตุการณ์เช่นนี้ที่อุปทานขาดแคลน (Supply Shortage) ว่า การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อจากปัจจัยอุปทาน (Cost Push)

ซึ่งแต่ละประเทศทั่วโลกที่มีการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ย่อมประสบกับภาวะเงินเฟ้อโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ขึ้นกับว่าจะในระดับสูง-ต่ำ ก็เพียงเท่านั้น

[ ภาวะเงินเฟ้อไม่ใช่ผู้ร้ายเสมอไป ]

แต่การที่สินค้าและบริการปรับตัวขึ้นจากเงินเฟ้อ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป หากตัวเลขของเงินเฟ้ออยู่ในระดับ 2-3% ซึ่งเป็นเป้าของธนาคารกลางทั่วโลกที่มองว่าเหมาะสม ก็หมายความ เศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ มีการขยายตัวอย่างเหมาะสม

เนื่องจากการที่สินค้าหรือบริการมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ย่อมสร้างแรงจูงใจในการแข่งขันของภาคธุรกิจ รวมถึงการสร้างการเติบโต ในขณะที่ฝั่งของลูกจ้าง ก็จะเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน หากค่าจ้างมีการปรับตัวสูงขึ้น

แต่หากการปรับตัวของเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สูงจนเกินไป ย่อมหมายถึง สินค้าและบริการมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงจนเกินไป ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนในการใช้ชีวิตของประชาชนในประเทศ

ดังเช่นที่เราเห็นในปี 2565 ที่ราคาอาหาร ค่าเดินทาง น้ำมัน และค่าบริการต่างๆ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทั่วโลก จนทำให้ต้นทุนในการใช้ชีวิตของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น

[ เงินเฟ้อกระทบชีวิตเรายังไงบ้าง ]

โดยผลกระทบจากเงินเฟ้อนั้น จะออกมาในรูปแบบของลูกโซ่ หลังจากที่ราคาของต้นทุนการผลิตมีการปรับตัวสูงขึ้น ทั้งน้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า ฯลฯ ธุรกิจบางประเภทที่สามารถส่งต่อต้นทุนดังกล่าวไปยังผู้บริโภคได้ ก็อาจทำให้กำไรของบริษัทนั้นๆ ทรงตัว หรือปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น

แต่ก็ทำให้สินค้าและบริการที่ผู้บริโภคต้องซื้อมีการปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ประชาชนคนทั่วไปเรียกร้องค่าแรงที่สูงขึ้นเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้จากภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งย่อมส่งผลให้ต้นทุนค่าแรงงานของบริษัทต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

จนในบางธุรกิจที่ไม่อาจขึ้นราคาสินค้าและบริการได้ ที่เรียกว่า No Pricing Power หรือ ธุรกิจที่ไม่ทีอำนาจต่อรองจากลูกค้า ก็จะทำให้กำไรปรับตัวลดลง หรือในบางกรณีก็อาจจะขาดทุนจนต้องปิดตัวได้เลย

[ ‘อาหาร-เครื่องดื่ม’ ต้นเหตุเงินเฟ้อไทย ]

หากมามองเงินเฟ้อในประเทศไทย ซึ่งในปี 2565 พุ่งไปแตะระดับ 6.08% โดยโครงสร้างเงินเฟ้อไทยนั้นมาจาก อาหารและเครื่องดื่ม (ไม่รวมแอลกอฮอล์) สูงถึง 42% ค่าเดินทาง 23% ค่าที่อยู่อาศัย 22% ความบันเทิง-การศึกษา 4% และอื่นๆ อีก 9%

ในขณะที่สหรัฐ เงินเฟ้อในปี 2565 พุ่งขึ้นแตะที่ระดับ 7.1% โดยมีโครงสร้างเงินเฟ้อมาจาก ค่าที่พักอาศัย 42% ค่าเดินทาง 18% ค่าอาหาร 14% ความบันเทิง-การศึกษา 11% และอื่นๆ อีก 14.5%

จะเห็นได้ว่า โครงสร้างเงินเฟ้อที่ต่างกันของคนในประเทศไทยและสหรัฐนั้น คิดมาตามสัดส่วนค่าใช้จ่ายของคนในประเทศที่ต่างกัน ทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อออกมาต่างกัน

ในปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนในการทำธุรกิจของหลายอุตสาหกรรม มีการปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจัยสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาที่พักอาศัยและค่าเดินทาง ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของเงินเฟ้อสหรัฐต้องปรับตัวสูงขึ้น

ในขณะที่ประเทศไทย โครงสร้างหลักของเงินเฟ้อมาจากค่าอาหารและค่าเดินทาง ซึ่งก็มีการปรับตัวขึ้นสูงเช่นเดียวกัน

[ เงินเฟ้อสหรัฐ ทำไมคนอื่นเดือดร้อน ]

แล้วทำไมการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อสหรัฐถึงส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ ทำไมหลายคนถึงต้องสนใจข่าวเงินเฟ้อของสหรัฐ

คำตอบก็อยู่ที่ว่า เศรษฐกิจโลกจนถึงตอนนี้ กำลังทำงานอยู่บนระบบโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ซึ่งหมายความว่า ระบบปัจจัยการผลิตของโลกมีความสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หากประเทศมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจของโลกอย่างสหรัฐ ที่ทั้งเป็นผู้นำเข้าหลักของโลก เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อจนเศรษฐกิจถดถอย ก็ย่อมทำให้กำลังการบริโภคของโลกลดลง

ขณะเดียวกัน ประเทศส่งออกที่มีคู่ค้าหลักเป็นสหรัฐ ก็จะมีปริมาณการส่งออกที่ลดลง ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ลดลงตามไปด้วย

ยังไม่รวมถึง ปัจจัยการผลิตของบริษัทต่างๆ ของสหรัฐ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก ที่หากเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอย ก็ย่อมอาจส่งผลให้มีการลดจำนวนพนักงานลง

ดังที่เห็นในช่วงปี 2565 จนถึงปัจจุบันว่าบริษัทชั้นนำของโลก อย่าง Google, Meta, Amazon และอื่นๆ อีกมากมาย มีการลดจำนวนพนักงานทั่วโลกเป็นประวัติการณ์ ก็ย่อมทำให้เกิดภาวะว่างงานตามมาด้วยอีกเช่นกัน

อ่านข่าวธุรกิจที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่นี่ : เครดิตบูโรแจง 6 ประเด็น พรรคการเมืองชงนโยบาย “ยกเลิกแบล็กลิสต์​”

เครดิตบูโรแจง 6 ประเด็น พรรคการเมืองชงนโยบาย “ยกเลิกแบล็กลิสต์​”

จากกรณีที่มีข่าวพรรคการเมืองเตรียมชูนโยบายยกเลิกแบล็กลิสต์ ปล่อยกู้ด้วยเครดิตสกอร์ริ่งมาแทนในระบบสินเชื่อเพื่อแก้ปัญหาหนี้ และรื้อระบบสินเชื่อทั่วประเทศนั้น

นายสุรพล​ โ​อภาสเสถียร​ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ได้ให้ความเห็นต่อนโยบายยกเลิกแบล็กลิสต์​ ผ่านเฟซบุ๊ค บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เรื่อง “ข้อเท็จจริงของผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร ต่อนโยบายยกเลิกแบล็กลิสต์​“ โดยได้อธิบายและชี้แจงทั้งหมด 6 ประเด็น สรุปใจความ ดังนี้

เครดิตบูโรแจง 6 ประเด็น

1. ไม่มีส่วนใดในรายงานเครดิตบูโร​ที่จะระบุว่า​ บุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีสินเชื่อและประวัติการชำระหนี้รายนั้น​ เป็นคนที่ไม่สมควรจะคบค้าสมาคม ไม่สมควรจะทำธุรกิจด้วย​ หรือไม่สมควรที่จะได้สินเชื่อใหม่ที่กำลังยื่นขออยู่

2. รายงานเครดิตบูโรได้มาจากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกโดยสมัครใจกับเครดิตบูโร ซึ่งก็มีหลายธนาคารต่างประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของเครดิตบูโร ดังนั้นใครเป็นลูกหนี้สถาบันการเงินเหล่านั้น ข้อมูลประวัติการชำระหนี้สินเชื่อก็จะไม่มาที่ระบบเครดิตบูโร

3. ประวัติที่ถูกส่งมายังระบบเครดิตบูโร​คือประวัติการชำระหนี้​ตามที่ลูกค้ามีบัญชีอยู่​ ถ้าจ่ายได้ตามกำหนด​ ตามสัญญา​ ข้อมูล​จะบอกว่า​ ไม่ค้างชำระ​ แต่ถ้าไม่ได้ไปจ่ายด้วยเหตุผลใดก็ตาม​ รายงานก็จะระบุว่าค้างชำระ​ ตามความจริง เพราะถ้าคนส่งข้อมูล​ไม่ดูแลความถูกต้อง​ ก็จะมีความผิดในการส่งข้อมูลและมีโทษในทางอาญา​ ดังนั้น​ ซีอีโอของสถาบันการเงิน​สมาชิกเครดิตบูโร​จะเข้มงวดเรื่องนี้มาก

4. แน่นอนว่าระบบการให้สินเชื่อเรายังไม่ตอบโจทย์​ ยังมีคนตัวเล็ก​ SME​ ขนาดจิ๋ว​ ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ​ หรือถ้าเข้าได้ก็โดนดอกเบี้ยแพง​ รวมทั้งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลังโควิดที่มีแผลเป็นจากการชำระหนี้ เพราะมีหนี้เสียค้างเกินสามงวด​ เกิน​ 90 วัน​ เวลานี้เศรษฐกิจ​กลับมาแล้ว​ แต่แผลเป็นคือเป็นหนี้เสีย​ เข้าไม่ถึงเพราะกติกาบอกว่าต้องปรับโครงสร้าง​หนี้​ก่อนถึงจะใส่เงินใหม่​ หนี้ใหม่เข้าไปได้​

5. การจะได้เงินใหม่​ หนี้ใหม่​ ก็ต้องมีข้อมูล​ว่ามีรายได้แล้วแน่นอน ไม่ติดค้างชำระหนี้ มีรายละเอียดที่เรียกว่า “ข้อมูล​ทางเลือก” (Alternative​ data) เช่น ไม่ค้างค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือแม้แต่เป็นลูกจ้าง​ Platform ส่งของ​ ส่งสินค้า​ หรือมีข้อมูล​จากผู้ซื้อที่เป็นกิจการของเอกชนขนาดใหญ่ว่าธุรกิจเราเป็นซัพพลายเออร์ของธุรกิจขนาดใหญ่ มียอดขายรายเดือนเท่านั้นเท่านี้​ สิ่งเหล่านี้จะมีส่วนไปช่วยขอกู้ได้มันก็จะไปช่วยสมานแผลเป็นจากประวัติชำระหนี้ค้าง​ เปรียบเหมือนเราต้องการฮีรูดอยล์เอาไปทาแผลเป็นให้ผิวเราดีและสวยใกล้เคียงเดิม​ แนวคิดนี้ในหลายประเทศทำ เช่น​ เครดิตบูโร​ของลาว​ ที่เอาข้อมูลค่าน้ำค่าไฟ​เข้าระบบ​ เครดิตบูโร​ กัมพูชา​เอาข้อมูล​เช็คเด้งเข้าระบบ​

บ้านเราข้อมูล​เหล่านั้นอยู่ในมือกิจการขนาดใหญ่​ Platform​ รัฐวิสาหกิจ​ ถ้าหน่วยงานเหล่านี้ส่งข้อมูลไปยังสถาบันการเงินตามคำขอของลูกค้า​ ในฐานะเจ้าของข้อมูล​ ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูล​ส่วนบุคคล​ ทำเป็นขั้นตอนทางดิจิทัล​ก็จะทัดเทียมประเทศ​อื่น ๆ เพราะข้อมูล​เพิ่มก็จะช่วยให้รู้จักลูกค้าเพิ่ม​ แต่ในทางกลับกัน​ ถ้าลูกค้าเหนียวหนี้​ ไม่ไปจ่ายหนี้สาธารณูปโภค​ ก็ไม่ได้สินเชื่อ​

“แล้วเราต้องมีนโยบายเลือกตั้งครั้งหน้าให้ลบประวัติการค้างชำระหนี้พวกนี้อีกไหม… อันนี้ขอถาม”นายสุรพลระบุ

6.ถ้าเราเอาข้อมูล​ทั้งระบบเก่าคือประวัติการชำระหนี้​ กับข้อมู​ลทางเลือกใหม่​ (อธิบายในข้อ 5) มาผสมกันแบบที่ธนาคาร​โลกสนับสนุน​ และบ้านเรามีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้หน่วยงานไปดำเนินการมากว่า​ 5-7 ปีที่แล้วในเรื่อง​ Ease of Doing business ถ้าเราทำให้จบเวลานั้น​ เราคงไม่มาพูดกันในเวลานี้​

ทั้งนี้ นายสุรพล ระบุว่า การกลับไปลบความจริงที่เกิดขึ้นในการชำระหนี้ขณะนี้ต้องพิจารณาตามความจริงของสถานการณ์กฎหมายที่มีในเวลานี้ว่ากฎหมายในปัจจุบันมีการตีความแล้วว่ายังไม่เปิดช่อง

“ถ้านักการเมืองที่กำลังเสนอตัวมาทำตรงนี้ท่านทำได้จริง​ ทะลุกฎหมายล้าสมัยได้จริง​จะขออนุโมทนา​ สาธุครับ”